เพิ่มเสียงริงโทนใหม่ รวมไปถึงเสียงข้อความ อีเมลเข้า และอื่นๆ
iOS 7 เปลี่ยนอินเทอร์เฟสการใช้งานแอพฯ กล้องใหม่ เป็นการเลื่อนจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย สามารถปรับแต่งรูปด้วยฟิลเตอร์ได้ในตัว นอกจากนี้ ในส่วนของ gallery ยังได้เปลี่ยนอินเทอร์เฟสใหม่ด้วยเช่นกัน
AirDrop ฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน iOS 7 สามารถแชร์ภาพ ให้กับเพื่อนที่อยู่รอบข้างได้
โดย iOS 7 จะเปิดให้ดาวน์โหลดพร้อมกัน ในวันที่ 18 กันยายนนี้ รองรับบน iPhone 4, iPhone 4S, iPhone 5, iPhone 5C, iPhone 5S, iPad 2, iPad 3, iPad 4, iPad mini และ iPod touch gen 5
และข่าวดีสำหรับ ผู้ใช้งาน iOS ครับ สามารถดาวน์โหลดแอพฯ Keynote, Pages, Numbers, iMovie และ iPhoto ไปใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินซื้ออีกต่อไป
Phil Schiller รับหน้าที่ เปิดตัว ดาวเด่นของงาน นั่นก็คือ iPhone 5C (ไอโฟน 5C)
โดย iPhone 5C มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเขียว, สีขาว, สีฟ้า, สีชมพู และสีเหลือง
โดยภาพรวมของ iPhone 5C นั้น เหมือนกับ iPhone 5 ครับ นั่นก็คือ มาพร้อมหน้าจอขนาด 4 นิ้ว, ชิปเซ็ต Apple A6, กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รองรับการใช้งาน FaceTime, รองรับ Bluetooth 4.0, รองรับ LTE ส่วนวัสดุตัวเครื่อง เปลี่ยนจาก อะลูมิเนียม มาเป็น โพลีคาร์บอเนต
โดย iPhone 5C มีให้เลือก 2 ขนาดความจุ นั่นก็คือ 16 GB และ 32 GB สำหรับ ราคา iphone 5c แบบติดสัญญา 2 ปี (เครื่องจดทะเบียน) อยู่ที่ $99 สำหรับความจุ 16 GB และ $199 สำหรับความจุ 32 GB
นอกจากนี้ ยังมี เคส iphone 5c (ไอโฟน 5c) ด้วยครับ มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีขาว, สีชมพู, สีเหลือง, สีฟ้า, สีเขียว และ สีดำ ราคาอยู่ที่ $29 หรือประมาณ 900 บาท
ต่อไป เป็นสมาร์ทโฟนเรือธง กับ iPhone 5s (ไอโฟน 5S) กันบ้าง
โดย iPhone 5s มีให้เลือก 3 สีด้วยกัน ได้แก่ Space Gray, Gold และ Silver ซึ่งในที่สุด ก็มี iphone 5s สีทอง
โดย iPhone 5S ใช้ชิป Apple A7 ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมแบบ 64-bit และถือว่า เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวนี้ครับ ซึ่งสามารถรันแอพฯ แบบ 32-bit และ 64-bit ได้
ในส่วนของประสิทธิภาพในการประมวลผลของ CPU เร็วกว่า iPhone รุ่นแรกถึง 40 เท่า และในส่วนของการประมวลผลแบบกราฟฟิค หรือ GPU เร็วกว่า iPhone รุ่นแรก 56 เท่า
นอกจากนี้ ยังรองรับ OpenGL ES เวอร์ชั่น 3.0 เหมือน new Nexus 7 (Nexus 7 2) อีกด้วย
นอกจากชิป Apple A7 แล้ว ยังมี ชิป M7 ที่ได้ชื่อว่า เป็น Motion co-processor โดยชิปตัวนี้ จะเป็นตัววัดการเคลื่อนไหวของ iPhone โดยผ่านเซ็นเซอร์ Accelerometer, Gyroscope และ Compass ซึ่งรองรับแอพฯ ที่เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ และการออกกำลังกายอีกด้วย
iPhone 5S รองรับการใช้งานได้สูงสุด 10 ชั่วโมง (3G talk time) และเปิดเครื่อง standby ได้นาน 250 ชั่วโมง
มาดูกันที่ กล้อง iPhone 5S กันบ้าง โดยกล้องด้านหลัง มีความละเอียดที่ 8 ล้านพิกเซล เท่าเดิม แต่ได้ปรับปรุงฟีเจอร์บางอย่างใหม่ นั่นก็คือ รูรับแสงกว้างขึ้นที่ F/2.2 หน่วยพิกเซล ละเอียดขึ้น อยู่ที่ 1.5 ไมครอน นั่นหมายความว่า ถึงแม้ ความละเอียดของกล้องจะเท่าเดิม แต่หน่วยพิกเซลละเอียดขึ้น ทำให้ได้ภาพที่คมชัดขึ้นเช่นกัน
ส่วนไฟแฟลชนั้น เป็นแบบ True tone flash ครับ ซึ่งเป็นไฟแฟลช 2 สี นั่นก็คือ สีขาว และสีเหลืองนวล ทำให้ภาพที่ถ่ายด้วยการใช้แฟลช ได้โทนสีที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ไม่สว่าง หรือหน้าวอกเกินไป นอกจากนี้ ยังเพิ่มระบบกันภาพสั่นอีกด้วย
iPhone 5s รองรับ Burst mode หรือโหมดการถ่ายภาพรัว ซึ่งสามารถถ่ายได้ 10 ภาพ ใน 1 วินาที
นอกจากนี้ ในส่วนของการวิดีโอ เพิ่มฟีเจอร์ Slo-Mo ถ่ายคลิปแบบ slow motion ที่อัตรา 120fps ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถซูมภาพขณะถ่ายคลิปได้ 3 เท่า
ต่อมาเป็น Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นฟีเจอร์เด่นบน iPhone 5S นั่นเอง โดยตัวเซ็นเซอร์นั้น มีความบางเพียง 170 ไมครอน ความละเอียดอยู่ที่ 500 ppi อ่านค่าได้ 360 องศา ฉะนั้น ต่อให้ลายนิ้วมือบางแค่ไหน ก็สามารถจับค่าได้ครับ
และเนื่องจาก Touch ID ฝังอยู่ใต้ปุ่ม Home ทำให้ปุ่ม Home ได้รับการออกแบบใหม่ โดยชั้นนอกสุด ทำมาจาก sapphire crystal ซึ่งป้องกันการเกิดรอย และเพิ่มความแข็งแรงทนทาน ตามมาด้วย วงแหวนที่ทำมาจาก stainless steel ล้อมรอบปุ่ม Home ในด้านนอก ถัดมาเป็น Touch ID sensor และ Tactile switch
ส่วนการใช้งาน Touch ID ก็คือ วางนิ้วทาบลงไปที่ปุ่ม Home แล้วให้ระบบสแกนว่า เป็นเจ้าของเครื่องตัวจริงหรือไม่ ซึ่งถือว่า เป็นระบบความปลอดภัยที่ดีกว่าการใช้ passcode ป้องกันการแฮค และลอกเลียนแบบได้ยาก
โดย iPhone 5S มีให้เลือก 3 ขนาดความจุ ได้แก่ 16GB, 32GB และ 64GB ราคาอยู่ที่ $199, $299 และ $399 ตามลำดับ ซึ่งเป็นราคาแบบติดสัญญา 2 ปี (จดทะเบียน)
สรุปไลน์ผลิตภัณฑ์ iPhone ตอนนี้ มีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันครับ นั่นก็คือ iPhone 4S, iPhone 5C และ iPhone 5S ส่วน iPhone 5 ถูกตัดออกจากไลน์ผลิตภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อย
iPhone 5C เปิดพรีออเดอร์ วันที่ 13 กันยายนนี้
และทั้ง iPhone 5S กับ iPhone 5C จะวางจำหน่ายวันแรก วันที่ 20 กันยายนนี้ ใน 9 ประเทศ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเปิดจำหน่ายในอีก 100 ประเทศทั่วโลก ในเดือนธันวาคมนี้ นอกจากจะเป็นครั้งแรก ที่เลือกเปิดจำหน่ายที่จีนแล้ว ยังเป็นครั้งแรกของเครือข่าย NTT DoCoMo ในญี่ปุ่น ที่นำ iPhone เข้ามาจำหน่ายอีกด้วย
โดยงานเปิดตัว iPhone 5S และ iPhone 5C ใช้เวลาดำเนินงานประมาณ 1.30 ชั่วโมง ซึ่ง Tim Cook ได้ขึ้นมากล่าวปิดงานอีกครั้ง ก่อนปิดฉากลงด้วยการแสดงจาก Elvis Costello ครับ
ข้อมูลเนื้อหาอาจจะเยอะแต่ถ้าไครที่ชื่นชอบข่าวไอทีไหม่ๆ หรือไม่ก็ใครเป็นสาวกไอโฟนจิงๆๆก็อ่านหมดสบายๆ ครับ ขอบคุณที่อ่านจนหมดนะครับ