เกร็ดหิมะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

MUSIC-MV










ศิลปิน:PARATA(ภารต้า)


หมายเหตุ: ที่ผมเลือกเพลงนี้เพราะผมชอบฟังเพลงนี้ ฟังบ่อยมาก ฟังตอนตื่น และก่อนนอนทุกคืนฟังแล้วมันรู้สึกดี เนื้อหาก็ดีเนื้อหาประมาณว่าเมื่อเราอยู่ไกลกับเขาซึ่งในที่นี้เปรียบเป็นเพื่อนหรือแฟนก็ได้ที่อยู่ไกลกันเมื่อโทรหากันก็ดีใจ บางทีเมื่อเราอยู่ไกลกันกับไครสักคนที่เราสนิทเราก็คิดถึงแล้วเมื่อวันหนึ่งเค้าโทรมาถามว่าสบายดีไหม มันอาจเป็นถ้อยคำล้ำค่า แม้ไม่ได้พบหน้าแค่ได้ยินเสียงเธอก็มีความสุขแล้ว


ขอบคุณครับที่รับชมและรับฟัง


ข่าว IT



รู้ทันข่าวไอที (IT)



งานเปิดตัว iPhone 5S (ไอโฟน 5S) และ iPhone 5C (ไอโฟน 5C) 






           ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ งานเปิดตัว iPhone 5S (ไอโฟน 5S) และ iPhone 5C (ไอโฟน 5C) ซึ่งจัดขึ้นช่วงค่ำคืนของวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศไทย ณ หอประชุม 4 Infinite Loop ที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยงานนี้ที่เรียกได้ว่า มีทั้ง เกินคาด และ ผิดหวัง ในคราวเดียวกัน





หอประชุม 4 Infinite Loop สถานที่จัดงาน

         โดยทีมงาน techmoblog ได้มีการรายงานสด งานเปิดตัว iphone 5c และ iphone 5s ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ รวมไปถึง แฟนเพจ techmoblog ให้เพื่อนๆ สมาชิกได้รับทราบรายละเอียดกัน แต่ถ้าหากท่านที่พลาด งานเปิดตัว แบบสดๆ ไป ทางทีมงานเอง ก็ได้มีการรวบรวม บรรยากาศภายในงาน พร้อมกับข้อมูลทั้งหมดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในงาน จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง มาชมกัน





          บรรยากาศในหอประชุมก่อนงานเริ่มเพียงไม่กี่นาที เต็มไปด้วยบรรดาสื่อมวลชนจากหลากหลายประเทศ ที่ได้รับเชิญให้ร่วมงานในครั้งนี้





          Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้เดินขึ้นมาบนเวที เพื่อกล่าวเปิดงาน โดยเริ่มงานด้วยเรื่องของ iTunes Festival ที่ได้จัดการแสดงทั้งหมด 30 คืน ที่ลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งมีศิลปินชื่อดังมากมายเข้าร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น Elton John, Justin Timberlake, Lady Gaga และศิลปินอื่นๆ อีกมากมาย โดยความพิเศษของ iTunes Festival ก็คือ ไม่ต้องหาซื้อบัตร แต่สามารถเข้าชมแบบ live stream ได้ ผ่านทาง iDevice อย่าง iPhone, iPad หรือ Mac ซึ่งแสดงสดกว่า 100 ประเทศทั่วโลก






          นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดถึง ความเปลี่ยนแปลงของ Apple Store สาขา Stanford ในแคลิฟอร์เนีย ที่รองรับลูกค้ากว่า 2,000 คนต่อวัน จากเดิมที่เป็นแค่ตึกแถวห้องเดียว กลายเป็นร้านกระจกสวยหรูอย่างที่เห็น





          Craig Federighi ขึ้นมาพรีเซนต์เรื่อง iOS 7 ครับ โดยได้กล่าวถึงภาพรวมของ iOS 7 ซึ่งสรุปจากงาน WWDC 2013 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้า lock screen แบบ harmonious layout, Control center และ Notification center






          ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น กับการเปิดฟังก์ชั่นการค้นหา ที่สามารถเข้าใช้งานได้จากหน้าใดก็ได้บน iPhone เพียงแค่ ลากลงมา แล้วเริ่มการค้นหาได้เลยทันที






          หน้า Multitasking ออกแบบใหม่ มีการพรีวิว แอพพลิเคชั่น ให้ดูด้วยเช่นกัน ซึ่งการปิดแอพพลิเคชั่นที่ไม่ต้องการ ให้ลากขึ้นไปด้านบน แทนการคลิ๊กไอคอนค้างแล้วปิด





เพิ่มเสียงริงโทนใหม่ รวมไปถึงเสียงข้อความ อีเมลเข้า และอื่นๆ






          iOS 7 เปลี่ยนอินเทอร์เฟสการใช้งานแอพฯ กล้องใหม่ เป็นการเลื่อนจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย สามารถปรับแต่งรูปด้วยฟิลเตอร์ได้ในตัว นอกจากนี้ ในส่วนของ gallery ยังได้เปลี่ยนอินเทอร์เฟสใหม่ด้วยเช่นกัน




AirDrop ฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน iOS 7 สามารถแชร์ภาพ ให้กับเพื่อนที่อยู่รอบข้างได้




          โดย iOS 7 จะเปิดให้ดาวน์โหลดพร้อมกัน ในวันที่ 18 กันยายนนี้ รองรับบน iPhone 4, iPhone 4S, iPhone 5, iPhone 5C, iPhone 5S, iPad 2, iPad 3, iPad 4, iPad mini และ iPod touch gen 5




          และข่าวดีสำหรับ ผู้ใช้งาน iOS ครับ สามารถดาวน์โหลดแอพฯ Keynote, Pages, Numbers, iMovie และ iPhoto ไปใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินซื้ออีกต่อไป




Phil Schiller รับหน้าที่ เปิดตัว ดาวเด่นของงาน นั่นก็คือ iPhone 5C (ไอโฟน 5C)






         โดย iPhone 5C มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเขียว, สีขาว, สีฟ้า, สีชมพู และสีเหลือง




          โดยภาพรวมของ iPhone 5C นั้น เหมือนกับ iPhone 5 ครับ นั่นก็คือ มาพร้อมหน้าจอขนาด 4 นิ้ว, ชิปเซ็ต Apple A6, กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รองรับการใช้งาน FaceTime, รองรับ Bluetooth 4.0, รองรับ LTE ส่วนวัสดุตัวเครื่อง เปลี่ยนจาก อะลูมิเนียม มาเป็น โพลีคาร์บอเนต




          โดย iPhone 5C มีให้เลือก 2 ขนาดความจุ นั่นก็คือ 16 GB และ 32 GB สำหรับ ราคา iphone 5c แบบติดสัญญา 2 ปี (เครื่องจดทะเบียน) อยู่ที่ $99 สำหรับความจุ 16 GB และ $199 สำหรับความจุ 32 GB



           นอกจากนี้ ยังมี เคส iphone 5c (ไอโฟน 5c) ด้วยครับ มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีขาว, สีชมพู, สีเหลือง, สีฟ้า, สีเขียว และ สีดำ ราคาอยู่ที่ $29 หรือประมาณ 900 บาท




ต่อไป เป็นสมาร์ทโฟนเรือธง กับ iPhone 5s (ไอโฟน 5S) กันบ้าง




         โดย iPhone 5s มีให้เลือก 3 สีด้วยกัน ได้แก่ Space Gray, Gold และ Silver ซึ่งในที่สุด ก็มี iphone 5s สีทอง 




           โดย iPhone 5S ใช้ชิป Apple A7 ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมแบบ 64-bit และถือว่า เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวนี้ครับ ซึ่งสามารถรันแอพฯ แบบ 32-bit และ 64-bit ได้





          ในส่วนของประสิทธิภาพในการประมวลผลของ CPU เร็วกว่า iPhone รุ่นแรกถึง 40 เท่า และในส่วนของการประมวลผลแบบกราฟฟิค หรือ GPU เร็วกว่า iPhone รุ่นแรก 56 เท่า




นอกจากนี้ ยังรองรับ OpenGL ES เวอร์ชั่น 3.0 เหมือน new Nexus 7 (Nexus 7 2) อีกด้วย






           นอกจากชิป Apple A7 แล้ว ยังมี ชิป M7 ที่ได้ชื่อว่า เป็น Motion co-processor โดยชิปตัวนี้ จะเป็นตัววัดการเคลื่อนไหวของ iPhone โดยผ่านเซ็นเซอร์ Accelerometer, Gyroscope และ Compass ซึ่งรองรับแอพฯ ที่เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ และการออกกำลังกายอีกด้วย






         iPhone 5S รองรับการใช้งานได้สูงสุด 10 ชั่วโมง (3G talk time) และเปิดเครื่อง standby ได้นาน 250 ชั่วโมง






          มาดูกันที่ กล้อง iPhone 5S กันบ้าง โดยกล้องด้านหลัง มีความละเอียดที่ 8 ล้านพิกเซล เท่าเดิม แต่ได้ปรับปรุงฟีเจอร์บางอย่างใหม่ นั่นก็คือ รูรับแสงกว้างขึ้นที่ F/2.2 หน่วยพิกเซล ละเอียดขึ้น อยู่ที่ 1.5 ไมครอน นั่นหมายความว่า ถึงแม้ ความละเอียดของกล้องจะเท่าเดิม แต่หน่วยพิกเซลละเอียดขึ้น ทำให้ได้ภาพที่คมชัดขึ้นเช่นกัน

          ส่วนไฟแฟลชนั้น เป็นแบบ True tone flash ครับ ซึ่งเป็นไฟแฟลช 2 สี นั่นก็คือ สีขาว และสีเหลืองนวล ทำให้ภาพที่ถ่ายด้วยการใช้แฟลช ได้โทนสีที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ไม่สว่าง หรือหน้าวอกเกินไป นอกจากนี้ ยังเพิ่มระบบกันภาพสั่นอีกด้วย




iPhone 5s รองรับ Burst mode หรือโหมดการถ่ายภาพรัว ซึ่งสามารถถ่ายได้ 10 ภาพ ใน 1 วินาที




          นอกจากนี้ ในส่วนของการวิดีโอ เพิ่มฟีเจอร์ Slo-Mo ถ่ายคลิปแบบ slow motion ที่อัตรา 120fps ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถซูมภาพขณะถ่ายคลิปได้ 3 เท่า




         ต่อมาเป็น Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นฟีเจอร์เด่นบน iPhone 5S นั่นเอง โดยตัวเซ็นเซอร์นั้น มีความบางเพียง 170 ไมครอน ความละเอียดอยู่ที่ 500 ppi อ่านค่าได้ 360 องศา ฉะนั้น ต่อให้ลายนิ้วมือบางแค่ไหน ก็สามารถจับค่าได้ครับ




          และเนื่องจาก Touch ID ฝังอยู่ใต้ปุ่ม Home ทำให้ปุ่ม Home ได้รับการออกแบบใหม่ โดยชั้นนอกสุด ทำมาจาก sapphire crystal ซึ่งป้องกันการเกิดรอย และเพิ่มความแข็งแรงทนทาน ตามมาด้วย วงแหวนที่ทำมาจาก stainless steel ล้อมรอบปุ่ม Home ในด้านนอก ถัดมาเป็น Touch ID sensor และ Tactile switch




          ส่วนการใช้งาน Touch ID ก็คือ วางนิ้วทาบลงไปที่ปุ่ม Home แล้วให้ระบบสแกนว่า เป็นเจ้าของเครื่องตัวจริงหรือไม่ ซึ่งถือว่า เป็นระบบความปลอดภัยที่ดีกว่าการใช้ passcode ป้องกันการแฮค และลอกเลียนแบบได้ยาก




         โดย iPhone 5S มีให้เลือก 3 ขนาดความจุ ได้แก่ 16GB, 32GB และ 64GB ราคาอยู่ที่ $199, $299 และ $399 ตามลำดับ ซึ่งเป็นราคาแบบติดสัญญา 2 ปี (จดทะเบียน)




          สรุปไลน์ผลิตภัณฑ์ iPhone ตอนนี้ มีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันครับ นั่นก็คือ iPhone 4S, iPhone 5C และ iPhone 5S ส่วน iPhone 5 ถูกตัดออกจากไลน์ผลิตภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อย




iPhone 5C เปิดพรีออเดอร์ วันที่ 13 กันยายนนี้




          และทั้ง iPhone 5S กับ iPhone 5C จะวางจำหน่ายวันแรก วันที่ 20 กันยายนนี้ ใน 9 ประเทศ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเปิดจำหน่ายในอีก 100 ประเทศทั่วโลก ในเดือนธันวาคมนี้ นอกจากจะเป็นครั้งแรก ที่เลือกเปิดจำหน่ายที่จีนแล้ว ยังเป็นครั้งแรกของเครือข่าย NTT DoCoMo ในญี่ปุ่น ที่นำ iPhone เข้ามาจำหน่ายอีกด้วย





          โดยงานเปิดตัว iPhone 5S และ iPhone 5C ใช้เวลาดำเนินงานประมาณ 1.30 ชั่วโมง ซึ่ง Tim Cook ได้ขึ้นมากล่าวปิดงานอีกครั้ง ก่อนปิดฉากลงด้วยการแสดงจาก Elvis Costello ครับ



           ข้อมูลเนื้อหาอาจจะเยอะแต่ถ้าไครที่ชื่นชอบข่าวไอทีไหม่ๆ หรือไม่ก็ใครเป็นสาวกไอโฟนจิงๆๆก็อ่านหมดสบายๆ ครับ ขอบคุณที่อ่านจนหมดนะครับ


รายละเอียดเพิ่มเติม:theverge.com


ขอขอบคุณข้อมูลจาก (http://www.techmoblog.com/iphone-5s-iphone-5c-event-coverage/)



วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กฏของมัวร์ หรือ Moore's law


  กฏของมัวร์ หรือ  Moore's law 


          กฏของมัวร์ หรือ Moore's law คือ กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่า จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ Intel  ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor  นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้ moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น 

มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน

          กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น
 ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม




        กฎของมัวร์ (Moore's Law)ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ


        พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม

         การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์ 

            คําว่า กฎของมัวร์นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์   Caltech   นามว่า    Carver Meadซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965  ต่อมามัวร์จึงได้เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975





อบคุณข้อมูลจาก ( http://th.wikipedia.org/wiki)


แบบทดสอบบทที่ 4 เรื่องซอฟต์แวร์

     แบบทดสอบบทที่ 4 เรื่องซอฟต์แวร์    





วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)

                                        บิตตรวจสอบ (Parity Bit)


        เลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์นั้นถึงแม้จะมีความผิดพลาดน้อย เพราะมีความเป็นไปได้เพียง 0 หรือ 1 เท่านั้น แต่อาจเกิดข้อบกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ ดังนั้น บิดตรวจสอบจึงเป็นบิตที่เพิ่มเข้ามาต่อท้ายอีก 1 บิต ถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้ตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้องของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์
     สำหรับบิตตรวจสอบนั้น ขะมีวิธีการตรวจสอบอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ
1. การตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Even Parity)
2. การตรวจสอบบิดภาวะคี่ (Odd Parity)

รหัสแทนข้อมูล รหัส ASCII และ รหัส Unicode


  >>รหัส ASCII<<

    ASCII
        เดิมการแทนรหัสฐานสองด้วยพยัญชนะในภาษาต่างๆเป็นการกำหนดกันเอง ขึ้นอยู่กับว่า ใครพัฒนาขึ้นมาทำให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดไม่สามารถส่งผ่านกัน
ได้เพราะใช้รหัสในเลขฐานสองไม่เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อที่จะให้สื่อสารกันได้ จึงจำเป็นต้องมีการ
กำหนดมาตรฐานของรหัสขึ้น สำหรับภาษาอังกฤษ เรียกว่า รหัสแอสกี้ (American Standard
Code Interchange,ASCII)

รหัสที่เป็นมาตรฐาน คือ รหัส ASCII
        American Standard Code For Information Interchange (ASCII) อ่านว่า แอส-กี้ เป็น
รหัสที่พัฒนาขึ้นโดยสถาบันมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (American National Standard
Institute: ANSI อ่านว่า แอน-ซาย) เรียกว่า ASCII Code ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สร้างเครื่อง
คอมพิวเตอร์ทั่วไป รหัสนี้ได้มาจากรหัสขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ (International
Standardization Organization: ISO) ขนาด 7 บิท ซึ่งสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกันได้ถึง 128
รหัส (ตั้งแต่ 000 0000 ถึง 111 1111) โดยกำหนดให้ 32 รหัสแรกเป็น 000 0000 ถึง 001
1111 ทำหน้าที่เป็นสั่งควบคุม เช่น รหัส 000 1010 แทนการเลื่อนบรรทัด (Line Feed)ในเครื่อง
พิมพ์ เป็นต้น และอีก 96 รหัสถัดไป (32-95) ใช้แทนอักษรและสัญลักษณ์พิเศษอื่น
รหัส ASCII ใช้วิธีการกำหนดการแทนรหัสเป็นเลขฐานสิบ ทำให้ง่ายต่อการจำและใช้งาน นอกจากนั้นยังสามารถเขียนมนรูปของเลขฐานสิบหกได้ด้วย ดังนั้น ASCII Code จึงเป็นรหัสที่เขียนได้ 3 แบบ เช่นอักษร A สามารถแทนเป็นรหัสได้ดังนี้

สัญลักษณ์เลขฐานสิบเลขฐานสองเลขฐานสิบหก
A65100 00014 1


รหัส ASCII สามารถใช้แทนข้อมูลอักขระและคำสั่งได้มากขึ้น และมีการขยายเป็นรหัสแบบ 8 บิท

  ตารางรหัส ASCII แทนตัวอักษร

วิธีการอ่านค่าจากตารางแอสกี
1. ชี้ตรงตัวอักษรที่ต้องการแทนรหัส เช่น ก 
2.
 อ่านค่ารหัสในตารางแนวตั้งตรงตำแหน่ง b7 b6 b5 และ b4 ค่าที่ได้ คือ 1010
3.
 อ่านค่ารหัสในตารางแนวนอนตรงตำแหน่ง b3 b2 b1 และ b0 ค่าที่ได้ คือ 0001
4.
 ดังนั้นรหัสแทนข้อมูลของตัวอักษร ก คือ 1010 0001







รหัส Unicode


        ยูนิโค๊ด คือ รหัสคอมพิวเตอร์ใช้แทนตัวอักขระ สามารถใช้แทน ตัวอักษร,ตัวเลข,สัญลักษณ์ต่างๆ ได้มากกว่ารหัสแบบเก่าอย่าง  ASCII ซึ่งเก็บตัวอักษรได้สูงสุดเพียง 256 ตัว(รูปแบบ) โดย Unicdoe รุ่นปัจจุบันสามารถเก็บตัวอักษรได้ถึง 34,168 ตัวจากภาษาทั้งหมดทั่วโลก 24 ภาษา โดยไม่สนใจว่าเป็นแพลตฟอร์มใด ไม่ขึ้นกับโปรแกรมใด หรือภาษาใด Unicode ได้ถูกนำไปใช้โดยผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น Apple, HP, IBM, Microsoft, Unix ฯลฯ และเป็นแนวทางอย่างเป็นทางการในการทำ ISO /IEC 10646 ดังนั้น Unicode จึงถือเป็นมาตรฐานในการกำหนดรหัส สำหรับทุกตัวอักษร ทุกอักขระ  Unicode ทำให้ข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายไปมาในหลายๆ ระบบ ข้ามแพลตฟอร์มไปมา หรือข้ามโปรแกรมได้อย่างสะดวก โดยไร้ข้อจำกัด


Unicode ต่างจาก ASCII 

    
     คือ ASCII เก็บ byte เดียว แต่ Unicode เก็บ 2 byte ซึ่งข้อมูล 2 byte เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล สามารถเก็บข้อมูลได้มากมายหลายภาษาในโลก 
อย่างภาษาไทยก็อยู่ใน Unicode นี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นรหัสภาษาไทยเอาไปเปิดในภาษาจีน ก็ยังเป็นภาษาไทยอยู่ ไม่ออกมาเป็นภาษาจีน เพราะว่ามี code ตายตัวอยู่ว่า code นี้จองไว้สำหรับภาษาไทย แล้ว code ตรงช่วงนั้นเป็นภาษาจีน ตรงโน่นเป็นภาษาญี่ปุ่น จะไม่ใช้ที่ซ้ำกัน เป็นต้น






                                  แทนชื่อ-สกุล ด้วยรหัส ASCII



WISSANU DESHPICHAI


W           0101 0111
I              0100 1001
S             0101 0011
S             0101 0011
A             0100 0001
N             0100 1110
U             0101 0101
SPACE  0100 0000
D             0100 0100
E              0100 0101
S              0101 0011
H             0100 1000
P              0101 0000
I               0100 1001
C              0100 0011
H              0100 1000
A              0100 0001
I                0100 1001
ทั้งหมด 144 bit  เท่ากับ 18 byte


ขอบคุณข้อมูลจาก(http://www.gotoknow.org/posts/58886)


การทำงานภายในระบบคอมพิวเตอร์ บทที่ 3

การทำงานในระบบคอมพิวเตอร์  คลิกที่นี้